กรรมพิพากษา
“คนทำดีได้ชั่วไม่มี…ฉันใด
คนทำชั่วได้ดีก็ไม่มี…ฉันนั้น”
ขออย่าปฏิเสธกฎแห่งความจริงแท้ข้อนี้เด็ดขาด
หากไม่อยากตกอยู่ภายใต้กรรมชั่วที่ก่อไว้เพราะคิดว่า
“ไม่เป็นไร…ใครๆ ก็ทำกัน”
อยากจะบอกว่า “กรรมเป็นของใครของมัน”
สิ่งใดที่แม้คนหมู่มากทำก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสิ่งดี
สิ่งดีคือสิ่งดี
แม้คนหนึ่งคนทำก็เป็นสิ่งดี
ผิดกับสิ่งชั่วที่แม้คนเป็นแสนเป็นแสนเป็นล้านทำก็คือสิ่งชั่วอยู่ดี
ฉะนั้นเลือกให้ถูก
ชีวิตเป็นของคุณ
ทุกคนมี “กรรม” เป็นมรดกของตนเอง
การเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ไม่เหมือนกันทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ
ชาติตระกูลก็ล้วนแต่ถูกเสกสรรค์ปั้นแต่งมาจาก “กรรม”
ที่ตนได้ประกอบไว้กันทั้งนั้น
โดยสิ่งที่เราได้รับทุกขเวทนา
สุขเวทนาในปันจุบัน
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกรมที่เคยทำไว้ในอดีต
อีกส่วนหนึ่งคือกรรมในปัจจุบันที่เราสามารถกำหนดตัวเราเองได้ว่า ต่อไปในวันข้างหน้าชีวิตเราจะเป็นเช่นไร จะดีหรือชั่ว?
พระพุทธเจ้าตลอดจนครูบาอาจารย์ทั้งหลายจึงสอนให้สาธุชนอยู่กับปัจจุบันเป็นสำคัญ หาใช่อดีตที่ล่วงเลยมาแล้ว หรือมัวพะวงเพ้อฝันกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีการเปลี่ยนแปลงได้จากการกระทำของเรานี้เอง แต่ให้เอาปัจจุบันเป็นตัวตั้งเท่านั้น เช่น
ปัจจุบันเราทำดีอนาคตเราย่อมดี
หากปัจจุบันเราทำชั่ว
อนาคตก็ย่อมได้รับกรรมชั่วเป็นของธรรมดา
ส่วนกรรมในอดีตที่ล่วงมาแล้วเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ แต่สามารถบรรเทาผลกรรมที่ปรากฏได้โดยการหมั่นประกอบความดีในปัจจุบันให้มาก และทำอย่างสม่ำเสมอ จนเรียกว่าเป็นอาจิณณกรรม แล้วกรรมดีนั้นก็จะพิพากษาให้เราได้รับแต่สิ่งที่ดีๆ
ส่วนใครที่ในปัจจุบันประกอบกรรมชั่วก็ต้องได้รับผลแห่งกรรมชั่วนั้นอีกทั้งยังจะทำให้กรรมในอดีตไม่ผ่อนผัน การลงทัณฑ์จึงปรากฏอย่างเต็มกำลัง
วิบากกรรมอันนำมาสู่ความชอกช้ำรำกำทรวง ก่อทุกข์ก่อโทษไม่รู้จบ
ก็เพราะผลจากสิ่งที่ตนได้กระทำ หาใช่ใครที่มาทำลายชีวิต ลิขิตตนให้ต้องเศร้าโศก หากไม่ใช่ฝีมือของตนเองด้วยการกระทำทั้งดีและชั่วที่ปะปนกันไปในแต่ล่ะภพชาติ ก่อเกิดอำนาจแห่งวิบากกรรม ส่งผลให้ได้รับทุกข์หรือสุขในภพชาติปัจจุบัน ด้วยว่า “กรรมเก่า” ที่เล่าเรื่องแห่งชีวิตอันสถิตในรูปนามทั้ง 3 ภพ
เช่น
สวรรค์ มนุษย์ และอบายภูมิ
ต่างกระทำกรรมอันว่าด้วยบาปบุญไว้ถ้วนหน้า
ทั้งรู้และไม่รู้นั่นก็ดี
กรรมจึงต่างที่เจตนาทำกรรมชั่วแต่ผลนั้นก็ได้รับเสมอตัว อาจบรรเทาลดหลั่นตามพลังบุญ
ตรงกันข้ามกับกรรมที่สร้างด้วยเจตนาย่อมนำมาสู่ทุกข์โศกวิปโยคพลันทั้งชีวิตที่เกิดมาก็พบพานแต่คนพาล สุดแสนรำคาญมากไฉย? ก็มิอาจปฏิเสธได้
เคราะห์ก็ซ้ำกรรมก็ชัดเหมือนคลื่นยักษ์ในทะเล ที่มาพร้อมกับกระแสของความบ้าคลั่ง พัดพาดวงจิตให้ซวนเซไปกับวิบากกรรม จนชั่วกัปบรรลัยกัลป์ก็ไม่สิ้นการกระทำ เวียนบรรจบมาครบวาระที่ต้องชดใช้กรรมให้ทุกข์ทรมานอยู่ร่ำไป
“กรรม”
จึงสถิตอยู่ในภพภูมิวนเวียนไปไม่รู้จบ
เพราะตราบใดที่มีการเกิด
ตราบนั้นย่อมมีการสร้างกรรมจากกรรมเก่าที่ได้รับวิบากกรรมแล้วยังต่อ
เนื่องด้วยการสร้างกรรมใหม่แม้จะเกิดอีกสักกี่ร้อยพันชาติก็ไม่สามารถใช้
กรรมได้หมด
เพราะเทียวเกิดเทียวตายอยู่เช่นอยู่เช่นนั้น ทำกรรมดีชั่วคละเคล้ากันตลอดเวลา
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ปุถุชนเดินทางสายกลาง อันจะนำมาซึ่งการพ้นทุกข์ในวัฏสงสาร ไม่ต้องกลับมาเวียนว่าย ตาย
เกิดให้ต้องชดใช้วิบากกรรมอีกต่อไป
หากแต่ปุถุชนโดยมากที่ไม่สามารถหลุดพ้นจากทุกข์ได้อย่างถาวรเพราะยังยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้น ก็ขอให้กระทำความดีไว้ เพราะกรรมดีจะช่วยบรรเทาวิบากกรรมชั่ว อีกทั้งยังเป็นเครื่องนำพาให้จิตไปสู่สุคติในภพต่อไปได้
“กรรม” คือ
การกระทำทั้งดีและชั่ว
ซึ่งไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาและได้กระทำไว้ในภพชาติใดก็ตาม ผลของกรรมย่อมปรากฏเรียกว่า “วิบากกรรม” ซึ่งกรรมในอดีตนั้นเราเรียกกันว่า “บุพกรรม” เป็นเหตุให้เกิดผลคือ “วิบากกรรม” ที่เราได้รับผลกันอยู่ในปัจจุบันนี้
ซึ่งวิบากกรรมก็จะมีทั้งดีและชั่วปะปนกันไปในแต่ละรูปแบบ
โดยเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ากรรมที่เราทำไว้ในภพชาติปางไหนก็ตาม ผลกรรมจะปรากฏในเวลาใด
หรือแม้แต่กรรมในปัจจุบันที่เราได้กระทำนี้ก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่า จะปรากฏผลแห่งกรรมในอีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี
หรือจะเกิดผลในชาติต่อๆไป
ซึ่งเวลาของการส่งผลแห่งกรรมนั้นก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของกรรมชนิดนั้นๆ
ด้วย
เพราะกรรมบางอย่างอาจจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กรรมบางอย่างอาจจะให้ผลช้า และขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่เราประกอบไว้ในปัจจุบันด้วยว่ามีกำลังมากพอที่จะทำให้ผลของบาปกรรมชะลอออกไปก่อน หรือบรรเทาให้เบาบางลงได้
ซึ่งแม้ว่าบุญกรรมที่ประกอบในปัจจุบันจะทำให้ผลของกรรมปรากฏช้าลงและมีวิบากที่มีความรุนแรงลดน้อยลงก็ตาม
แต่อย่างไรแล้วเราก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้นอยู่ดี อาจจะช้าจะเร็ว จะมากจะน้อยก็ล้วนแต่ต้องรับผลกรรมนั้นทั้งสิ้น
หากจำแนกในเรื่องของกรรมออกเป็นกายกรรม วจีกรรม
มโนกรรมแล้วย่อมมีส่วนสัมพันธ์กรรมทั้งหมด
เช่น ใจคิดชั่วโดยไม่สามารถยับยั้งความคิดได้ก็จะแสดงออกทางวาจาและทางกายได้
ทำให้เกิดวิบากกรรมที่รุนแรงมากขึ้นขณะเดียวกันหากใจคิดแต่วาจาและกายไม่กระทำ
ก็เป็นบาปกรรมเหมือนกันเพราะใจคิดชั่วก็เป็นอกุศลแล้ว
ย่อมได้รับความทุกข์จากผลกรรมเช่นเดียวกันแต่จะมากจะน้อยอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับประเภทของกรรม
กฎแห่งกรรม
“ทำดีได้ดี
ทำชั่วได้ชั่ว” คือกฎแห่งกรรมที่ไม่ซับซ้อน เพราะการกระทำเป็นเหตุ ส่งผลให้เกิดการรับผลของการกระทำ นี้คือหลักง่ายๆ ของกฎแห่งกรรม ที่เราทุกคนต่างก็รู้กันดี
หากแต่ความซับซ้อนของ “กรรม” นั้นไม่ใช่เหตุของกรรมแต่เป็นวิบากกรรมที่ส่งผล
เนื่องจากในอดีตเราได้ทำกรรมไว้หลายประการทั้งดีละชั่วและทำไว้หลายชาติด้วยกัน
การปรากฏของกรรมในปัจจุบันจึงอาจจะเป็นผลกรรมที่เราทำไว้ในชาติไหนนั้นก็คงไม่อาจทราบได้
อาจเป็นผลของกรรมที่กระทำเป็นชนิดเดียวกันและทำไว้ในหลายภพหลายชาติ แต่มาให้ผลในเวลาเดียวกัน
เช่น
ในอดีตอาจจะเคยฆ่าสัตว์มาก่อนและขณะเดียวกันก็เคยส่งเสริมให้ผู้อื่น
ทำแท้งหรือสนับสนุนให้ผู้อื่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิตโดยเป็นคนสั่งการส่งผลให้ใน
ปัจจุบันได้เกิดโรคภัยต่างๆ
ขึ้นมากมาย
จากโรคหนึ่งก็ลุกลามไปอีกโรคหนึ่ง
ที่เรียกกันว่า “โรคแทรกซ้อน”
และบางครั้งก็เกิดเป็นโรคประหลาดชนิดที่รักษาไม่หายก็มีให้เห็นมาก
ดังนั้น “ วิบากกรรม” จึงมีความซับซ้อนและละเอียดมาก เพราะบางครั้งผลกรรมที่เราได้รับอาจไม่ได้มาจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งโดยตรง
แต่อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุรวมกันแล้วส่งผลในเวลาเดียวกันก็เป็นได้ เนื่องจากการกระทำกรรมในเรื่องๆ หนึ่งอาจทำให้ผิดศีลหลายข้อด้วยกัน จึงแยกออกเป็นกรรมหลายประเภท
เช่น การประพฤติผิดในกาม เป็นชู้กับผู้อื่น (ผิดศีลข้อ 3 )
โดยปิดบังซ่อนเร่นไม่ให้ภรรยาหรือสามีของตนล่วงรู้ ถือเป็นการหลองลวง โกหกมดเท็จ (ผิดศีลข้อ 4) เมื่อภรรยาหรือสามีล่วงรู้ก็เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันครอบครัวแตกแยกเพราะความหึงหวงจากอีกฝ่าย ลุกลามบานปลายเป็นการใช้กำลัง ทำให้เข่นฆ่ากันถึงตายก็มี (ผิดศีลข้อ 1)
ทั้งนี้แค่เพียงการเป็นชู้กับคนอื่นโดยตั้งใจก็ถือเป็นการเบียดเบียนครอบครัวของอีกฝ่ายไปในตัวอยู่แล้ว
หรือการดื่มสุราแล้วเกิดการทะเลาะวิวาท เกิดการเข่นฆ่ากัน เกิดการประพฤติผิดในกาม ลักขโมย ฯลฯ
เพราะการดื่มสุราทำให้คนขาดสติ จึงนำมาซึ่งการกระทำผิดศีลหลายข้อด้วยกัน เกิดเป็นวิบากกรรมที่ต้องรับ
ความวับซ้อนของวิบากกรรมจึงยากเกินบรรยายได้หมด เพราะอย่างที่กล่าวไปว่า การกระทำเดียวนำมาซึ่งกรรมหลายอย่าง ทำให้ได้รับผลของกรรมของความหนักเบา ซึ่งอาจจะต่างวาระกันออกไป ส่วนอีกประเภทหนึ่งก็คือ ทำกรรมลักษณะเดียวกันในหลายภพหลายชาติ แต่กรรมก็ดันมาประจวบเหมาะให้ผลพร้อมๆกัน ทำให้ผู้นั้นต้องได้รับทุกขเวทนามหาศาล
ดังนั้นเพียงเราเชื่อในกฎแห่งกรรม ว่าทำดีได้ดี
ทำชั่วได้ชั่ว
แล้วมุ่งมั่นทำความดี
ละเว้นความชั่ว
ก็คงเพียงพอต่อความเข้าใจในเรื่องกฎแห่งกรรมแล้ว
กรรมพิพากษาจากการทำผิดศีล
วิบากกรรมชั่วต่างๆ
ที่เราพึงได้รับกันอยู่ในปัจจุบันล้วนมาจากการกระทำของเราโดยการทำผิดศีลเป็นหลัก
ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าท่านทรงให้เราพึงรักษาศีลก็เพราะให้ละเว้นการกระทำกรรมชั่วอันจะนำมาซึ่งวิบากกรรมชั่ว
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกรรมปัจจุบันหรือในอดีตก็ดีผลกรรมนั้นก็ย่อมส่งผลไม่ช้าก็เร็ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับชนิดและก็ประเภท
กับความรุนแรงของกรรมที่ขึ้นอยู่กับเจตนาหรือไม่เจตนา
แต่ใครหลายคนคงอยากจะรู้ว่า การที่ตนได้รับทุกขเวทนาในเรื่องต่างๆ นั้น
เป็นเพราะการทำผิดศีลข้อใด
ศีลข้อ 1
พึงให้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การเบียดเบียนผู้อื่นหากใครที่ทำผิดศีลข้อนี้จะด้วยการกระทำในชาติใดก็ตามที่ผ่านมาหรือในชาติปัจจุบันก็ดี กรรมนั้นย่อมส่งผลให้ผู้กระทำได้รับความเจ็บป่วยเกิดโรคภัยต่างๆ นานา หรือหากวิบากกรรมรุนแรงก็ถึงกับทำให้บางคนอายุสั้นหรือตายก่อนอายุขัย
เรื่องการฆ่าสัตว์หรือเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นที่จัดให้เป็นศีลข้อแรกที่เราต้องพึงระวัง เนื่องด้วยพระพุทธองค์ทรงเห็นว่า
ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ต่างย่อมรักชีวิตของตนมาเป็นอันดับแรก
จึงบัญญัติให้ศีลข้อนี้เป็นศีลข้อแรกที่ควรละเว้น
การฆ่าสัตว์หรือทำร้ายชีวิตผู้อื่น ทำให้เจ็บปวดทั้งกายและใจ ย่อมเป็นสิ่งที่พึ่งละเว้น
มิเช่นนั้นวิบากกรรมที่ตามมาก็หนีไม่พ้นทุกขเวทนาที่จะเกิดแก่เราเอง อย่างเช่น
บุคคลที่ป่วยด้วยสารพัดโรค
หรือตายก่อนอายุขัยโดยส่วนมากจะตายอย่างฉับพลันที่เราเรียกกันว่า “ตายโหง” นั้น
ล้วนมาจากกรรมการเบียดเบียนชีวิต
ซึ่งพิพากษาให้เขาต้องจบชีวิตลง กรรมพิพากษาในข้ออาณาติบาต
ได้ยกตัวอย่างมาเช่น ในสมัยที่แม่ยังเด็กนั้น
ในหมู่บ้านจะเลี้ยงวัวเลี้ยงควายกันมาก เพราะนอกจะใช้ไถ่นาแล้ว
ยังสามารถนำไปขายได้อีก ไม่เพียงเท่านั้นหากมีงานบุญ งานแต่ง
งานศพก็มักจะฆ่าวัวฆ่าควายเพื่อใช้ทำอาหาร (ปัจจุบันก็ยังนิยมวิธีนี้อยู่)
โดยจะมีเพชฌฆาตที่ทำการฆ่าเป็นคนในหมู่บ้านเอง
เพราะพวกเขาทำอาชีพนี้อยู่เป็นประจำจนชินเรียกว่าเป็น "อาจิณณกรรม"
แม่เล่าได้เล่าว่าเพชฌฆาตรายนี้ได้ฆ่าวัวฆ่าควายมานับไม่ถ้วน เพราะเป็นอาชีพของแกและแกก็ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่กระทำไปนั้นเป็นบาป ดังนั้นความเห็นผิดคือมิจจฉาจึงเข้าครอบงำจิตใจของเขาแล้ว
เพราะ เห็นว่าสิ่งที่ตนได้กระทำไม่เป็นบาป ฉะนั้นบุคคลจึงไม่มีความเชื่อในบาป ในบุญ หรือไม่เชื่อในกฎแห่งกรรมนั่นเอง ครั้นต่อมา เพชฌฆาตรายนี้ก็ได้ล้มป่วยลงด้วยหลายโรค และสมัยก่อนยังไม่มีสาธารณะสุขเข้ามาจึงต้องรักษาด้วยสมุนไพร แต่อาการของแกก็ไม่ดีขึ้น ครั้นพอแกจะสิ้นใจก็ดิ้นพล่าน ตาถลน เกิดภาพหลอนต่างๆ นานา และร้องเสียงเหมือนวัวควายที่กำลังจะถูกฆ่า แกเอามือกุมขมับและร้องว่าปวดหัวจะหัวจะแตก! นั่นก็เพราะกรรมจากการที่แกเอาด้ามจอบไปถุบหัววัวหัวควายเหล่านั้น
จากนั้นแกก็มีอาการเจ็บที่คอคล้ายกับมีมีดปลายแหลมเข้ามาแทนอย่างจัง! นั่นก็เพราะเมื่อแกทุบหัววัวควายจนล้มลงแล้วก็ใช้มีดปลายแหลมเฉือนเข้าไปที่ บริเวณลำคอของวัวควายจนเลือดไหลพุ่ง แล้วชำแหละร่างของมันออกเป็นส่วนๆ เพชฌฆาตรายนี้จึงมีอาการไม่ต่างจากวัวควายที่เขาฆ่านับร้อยตัว แม่เล่าว่าแกทรมานอยู่เช่นนั้นหลายชั่วโมงเลยทีเดียว จนถึงวาระสุดท้ายที่สิ้นลม ซึ้งการปรากฎภาพหลอนและเวทนาต่างๆ ของผู้รับกรรมนั้น เกิดจากสิ่งที่ตนได้กระทำทั้งดีและชั่วจนถูกบันทึกไว้ในจิตตลอดการมีชีวิต อยู่ หากเมื่อใดที่ถึงวาระแห่งความตาย จิจสุดท้ายจะบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาจะไปนรก หรือขึ้นสวรรค์
หากผู้ที่สั่งสมบุญมามากกว่าบาป ภาพที่ปรากฎในนิมิตก็จะมีแต่ความเป็นกุศล เช่นภาพที่ตนเคยใส่บาตร เคยให้ทาน เกิดปิติซาบซึ่งใจ หรือเกิดภาพดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมต่างๆ ทำให้จิตใจสดชื่น ไม่มัวหม่อง ส่งผลให้ภพภูมิต่อไปย่อมไปเกิดในสวรรค์
ตรงกันข้ามกับผู้ที่กระทำความชั่วไว้มากกว่าความดี ผลของความชั่วนั้นก็ปรากฎในนิมิตให้เห็นเป็นภาพที่ตนเคยกระทำ ส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดทุกขเวมนาเช่นเดียวกับผู้อื่นที่ตนได้เคยกระทำต่อ เขาไว้ หรือบางคนก็เห็นยมทูตมารับ เห็นฝูงแร้งฝูงกาบินโฉบไปมา เห็นเปลวไฟอันร้อนแลง แสดงให้เห็นว่าจิตสุดท้ายของเขาเป็นอกุศลเพราะสั่งสมความชั่วมา ภพภภูมิต่อไปก็จะหนีไม่พ้นนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
แต่ที่เราเห็นกันบ่อยครั้งก็เช่น เวลาใกล้ตายลูกหลานมักจะให้ปู่ย่าตายายนึกถึงพระหรือฟังบทสวดมนต์ เมื่อตายไปจะได้ไปดี หรือการทำสังฆทานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตายโดยนิมนต์ให้พระมารับนั้น หากผู้ตายเคยสั่งสมบุญไว้มาก แน่นอนว่าสิ่งที่เขาได้กระทำในคราสุดท้ายนี้ย่อมจดจำไปจนถึงจิตสุดท้าย แต่สำหรับผู้ที่ไม่เคยสั่งสมบุญเลย หากคราสุดท้ายลูกหลานให้นึกถึงพระ นึกถึงบุญ เขาก็จะนึกไม่ได้ นึกไม่ออก เพราะมีแต่ความชั่วที่ปรากฎในมโนภาพ เนื่องจากตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่เคยสร้างบุญเลยจึงนึกไม่ออกว่าการสร้างบุญ เป็นอย่างไร? ความปีติอิ่มใจนั้นเป็นอย่างไร? จิตของเขาจึงหมองหม่นจนวาระสุดท้ายก็ตกไปสู่อบายภูมิ
ดังนั้นเรื่องของจิตสุดท้ายและการกระทำย่อมเป็นสิ่งเกี่ยวเนี่องกันเพราะหาก เราได้ทำดีไว้มาก จิตสุดท้ายย่อมนึกถึงแต่สิ่งดีๆ หากทำความชั่วไว้มาก จิตสุดท้ายก็นึกถึงสิ่งที่ชั่ว โดยการกระทำอันเกี่ยวเนื่องกับวาระจิตสุดท้ายนี้เองจะเป็นนสิ่งบ่งบอกได้ว่า เขาผู้นั้นจะไปสวรรค์ นรก หรือได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง
แม่เล่าได้เล่าว่าเพชฌฆาตรายนี้ได้ฆ่าวัวฆ่าควายมานับไม่ถ้วน เพราะเป็นอาชีพของแกและแกก็ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่กระทำไปนั้นเป็นบาป ดังนั้นความเห็นผิดคือมิจจฉาจึงเข้าครอบงำจิตใจของเขาแล้ว
เพราะ เห็นว่าสิ่งที่ตนได้กระทำไม่เป็นบาป ฉะนั้นบุคคลจึงไม่มีความเชื่อในบาป ในบุญ หรือไม่เชื่อในกฎแห่งกรรมนั่นเอง ครั้นต่อมา เพชฌฆาตรายนี้ก็ได้ล้มป่วยลงด้วยหลายโรค และสมัยก่อนยังไม่มีสาธารณะสุขเข้ามาจึงต้องรักษาด้วยสมุนไพร แต่อาการของแกก็ไม่ดีขึ้น ครั้นพอแกจะสิ้นใจก็ดิ้นพล่าน ตาถลน เกิดภาพหลอนต่างๆ นานา และร้องเสียงเหมือนวัวควายที่กำลังจะถูกฆ่า แกเอามือกุมขมับและร้องว่าปวดหัวจะหัวจะแตก! นั่นก็เพราะกรรมจากการที่แกเอาด้ามจอบไปถุบหัววัวหัวควายเหล่านั้น
จากนั้นแกก็มีอาการเจ็บที่คอคล้ายกับมีมีดปลายแหลมเข้ามาแทนอย่างจัง! นั่นก็เพราะเมื่อแกทุบหัววัวควายจนล้มลงแล้วก็ใช้มีดปลายแหลมเฉือนเข้าไปที่ บริเวณลำคอของวัวควายจนเลือดไหลพุ่ง แล้วชำแหละร่างของมันออกเป็นส่วนๆ เพชฌฆาตรายนี้จึงมีอาการไม่ต่างจากวัวควายที่เขาฆ่านับร้อยตัว แม่เล่าว่าแกทรมานอยู่เช่นนั้นหลายชั่วโมงเลยทีเดียว จนถึงวาระสุดท้ายที่สิ้นลม ซึ้งการปรากฎภาพหลอนและเวทนาต่างๆ ของผู้รับกรรมนั้น เกิดจากสิ่งที่ตนได้กระทำทั้งดีและชั่วจนถูกบันทึกไว้ในจิตตลอดการมีชีวิต อยู่ หากเมื่อใดที่ถึงวาระแห่งความตาย จิจสุดท้ายจะบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาจะไปนรก หรือขึ้นสวรรค์
หากผู้ที่สั่งสมบุญมามากกว่าบาป ภาพที่ปรากฎในนิมิตก็จะมีแต่ความเป็นกุศล เช่นภาพที่ตนเคยใส่บาตร เคยให้ทาน เกิดปิติซาบซึ่งใจ หรือเกิดภาพดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมต่างๆ ทำให้จิตใจสดชื่น ไม่มัวหม่อง ส่งผลให้ภพภูมิต่อไปย่อมไปเกิดในสวรรค์
ตรงกันข้ามกับผู้ที่กระทำความชั่วไว้มากกว่าความดี ผลของความชั่วนั้นก็ปรากฎในนิมิตให้เห็นเป็นภาพที่ตนเคยกระทำ ส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดทุกขเวมนาเช่นเดียวกับผู้อื่นที่ตนได้เคยกระทำต่อ เขาไว้ หรือบางคนก็เห็นยมทูตมารับ เห็นฝูงแร้งฝูงกาบินโฉบไปมา เห็นเปลวไฟอันร้อนแลง แสดงให้เห็นว่าจิตสุดท้ายของเขาเป็นอกุศลเพราะสั่งสมความชั่วมา ภพภภูมิต่อไปก็จะหนีไม่พ้นนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
แต่ที่เราเห็นกันบ่อยครั้งก็เช่น เวลาใกล้ตายลูกหลานมักจะให้ปู่ย่าตายายนึกถึงพระหรือฟังบทสวดมนต์ เมื่อตายไปจะได้ไปดี หรือการทำสังฆทานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตายโดยนิมนต์ให้พระมารับนั้น หากผู้ตายเคยสั่งสมบุญไว้มาก แน่นอนว่าสิ่งที่เขาได้กระทำในคราสุดท้ายนี้ย่อมจดจำไปจนถึงจิตสุดท้าย แต่สำหรับผู้ที่ไม่เคยสั่งสมบุญเลย หากคราสุดท้ายลูกหลานให้นึกถึงพระ นึกถึงบุญ เขาก็จะนึกไม่ได้ นึกไม่ออก เพราะมีแต่ความชั่วที่ปรากฎในมโนภาพ เนื่องจากตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่เคยสร้างบุญเลยจึงนึกไม่ออกว่าการสร้างบุญ เป็นอย่างไร? ความปีติอิ่มใจนั้นเป็นอย่างไร? จิตของเขาจึงหมองหม่นจนวาระสุดท้ายก็ตกไปสู่อบายภูมิ
ดังนั้นเรื่องของจิตสุดท้ายและการกระทำย่อมเป็นสิ่งเกี่ยวเนี่องกันเพราะหาก เราได้ทำดีไว้มาก จิตสุดท้ายย่อมนึกถึงแต่สิ่งดีๆ หากทำความชั่วไว้มาก จิตสุดท้ายก็นึกถึงสิ่งที่ชั่ว โดยการกระทำอันเกี่ยวเนื่องกับวาระจิตสุดท้ายนี้เองจะเป็นนสิ่งบ่งบอกได้ว่า เขาผู้นั้นจะไปสวรรค์ นรก หรือได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง
ศีลข้อ 2
อทินนาทานาฯ พึงให้ละเว้นจากการลักขโมย ฉ้อโกง ยักยอก หรือการได้ของคนอื่นมาโดยที่ผู้อื่นไม่เต็มใจ หรือโดยที่เจ้าของเขาไม่รู้ แม้แต่การเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นทำให้เขาได้รับความเดือดร้อน รับสินบน กินใต้โต๊ะ หรือแม้แต่ผู้ที่สนับสนุนส่งเสริมให้มีการทุจริตต่างๆ ก็ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นเหมือนกัน
หากใครที่เคยกระทำผิดศีลข้อนี้ในชาติใดก็ตามที่ผ่านมาหรือในชาติปัจจุบันก็ดี
กรรมย่อมส่งผลให้ผู้กระทำถุกคดโกงจากผู้อื่นเสมอๆ เป็นผู้เสียทรัพย์โดยไม่มีสาเหตุอันควร หรือเป็นผู้ที่ทำมาหากินไม่ขึ้น มักจะมีปัญหาด้านการเงินอยู่เสมอๆ
เช่น
ลักขโมย
ยักยอกทรัพย์
คดโกง ก็ยังมีให้เห็นอยู่ ซึ่งการพิพากษาจากทางโลกก็คือ การดำเนินคดีทางกฎหมาย จับปรับ
หรือติดคุกก็แล้วแต่กรณี
หากแต่งการพิพากษาในกฎแห่งกรรมนั้นก็อย่างที่กล่าวไป เช่น
มีปันหาด้านการเงินอยู่เสมอๆ
ถูกโจนขึ้นบ้านบ่อยๆ
ถูกจี้ชิงทรัพย์บ่อย ถูกโกง
ถูกยักยอก ถูกเอารัดเอาเปรียบ ฯลฯ
เพราะการที่เราทำกับเขาไว้หลายอย่างไร
เราก็ย่อมได้อย่างนั้น เช่น คนที่คดโกง
เมื่อถูกจับได้ก็ต้องถูกยึดทรัพย์
ไม่มีแม้บ้านจะให้อยู่อาศัย
การกระทำผิดศีลข้อสองนี้มีเหตุที่มาจากความโลภเป็นหลัก เพราะหากไม่มีความโลภย่อมไม่เกิดการกระทำผิด
ทุจริต คดโกงใดๆ
เกิดขึ้นกรรมก็ย่อมไม่ส่งผล
ศีลข้อ 3
กาเมสุมิจฉาจาราฯ พึงให้ละเว้นจากการประพฤติผิดในกามเป็นชู้กับสามีภรรยาผู้อื่น รวมไปถึงการมักมากในกาม มีกิ๊กมาก หรือการลักลอบได้เสียกันโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ การพลัดพลรากของรักของหวงของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ตาม ซึ่งไม่ว่าการกระทำนั้นจะเกิดขึ้นในชาติใดก็ตามที่ผ่านมาหรือในชาติปัจจุบันก็ดี กรรมนั้นย่อมส่งผลให้ผู้กระทำไม่สมหวังในความรัก หรือมักจะรักคนที่มรเจ้าของแม้มีคนที่รักแล้วก็จะถูกพลัดพรากด้วยสาเหตุต่างๆ กลายเป็นอาภัพรัก บางคนก็ไม่มีความสุขในชีวิตครอบครัว ครอบครัวแตกแยก หรือประเภทเกิดมามีกายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิงก็นับเป็นผลจากการกระทำผิดศีลข้อนี้กรรมก็ตกถึงลูกถึงหลานได้ เป็นต้น
เช่น
มีให้เห็นอยู่ตามข่าวคราวในแต่ละวัน
โดยเฉพาะผู้ที่มีชู้
มีกิ๊กมาก ทะเลาะตบตีกันด้วยความหึงหวง บางครั้งก็ถึงกับฆ่าฟังกัน เช่น
สามีไปมีเมียน้อย พอเมียหลวงจับได้ก็ทะเลาะกันจนสุดท้ายสามีได้ใช้ปืนยิงเมียหลวง แต่โชคยังดีที่ไม่ถึงแก่ชีวิต
ส่วนฝ่ายเมียน้อยก็เสมือนเป็นกรรมที่ติดตามทัน ทำให้เธอต้องคลอดลูกก่อนกำหนดและลูกของเธอก็มีสุขภาพที่ไม่แข็งแรง
กรรมพิพากษาจากการกระทำผิดศีลข้อสามนี้ไม่ใช่เพียงแต่การคบชู้เท่านั้น
รวมไปถึงการมักมากในกามและการละเมิดความเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น เช่น การลักลอบได้เสียกันโดยที่พ่อแม่ไม่รู้
ซึ่งส่วนมากได้กลายเป็นค่านิยมสำหรับวัยรุ่นไปแล้ว แต่ผู้ที่เสียใจย่อมหนีไม่พ้นพ่อแม่
ศีลข้อ 4
มุสาวาทาฯ พึงให้ละเว้นจากการพูดเท็จ พุดหยาบคายส่อเสียด นินทาว่าร้าย การพูดแหย่ให้ผู้อื่นแตกแยกกัน ไม่ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่นหลอกลวง กล่าวง่ายๆ คือให้สำรวมในวาจา และรักษาสัจจะ หากใครที่กระทำผิดศีลข้อนี้ไม่ว่าจะในชาติใดก็ตามที่ผ่านมาหรือใน ชาติปัจจุบันก็ดีกรรมนั้นย่อมส่งผลให้ผู้กระทำถูกหลอกจากบุคคลอื่นบ่อยครั้ง จะพูดจาสิ่งใดก็ไม่มีใครเชื่อถือศรัทธา มีลูกน้องก็ไม่เชื่อฟัง และมักจะพบเจอแต่คนไม่จริงจัง เป็นต้น
วาจานั้นมีความสำคัญมากต่อชีวิตของมนุษย์ เพราะการพุดสามารถทำให้คนรักกันได้ ทำให้คนเกลียดกันได้ ครูบาอาจารย์ท่านจึงให้สำรวมในวาจา เพราะหากไม่สำรวมแล้วก็จะเกิดวจีกรรม คือกรรมทางวาจาที่เป็นฝ่ายชั่ว
ซึ่งเป็นผลให้เกิดทุกข์เกิดโทษต่อตนเองและผู้อื่น
ไม่เฉพาะการสำรวมในวาจาเท่านั้น แต่การรักษาสัจจะวาจา ครูบาอาจารย์ท่านก็ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
เพราะหากไม่รักษาสัจจะก็เท่ากับเป็นการโกหก หลอกลวง
ไม่ซื่อสัตว์ในคำพูดนั้นๆ
ซึ่งแม้แต่คำพูดที่ตนได้เอ่ยออกไปยังไม่สามารถรักษาไว้ได้ ความน่าเชื่อถือและความศรัทธาก็จะหามีไม่
ฉะนั้นวาจาจึงมีผลต่อความเชื่อถือศรัทธาและความไว้วางใจของผู้อื่นที่มีต่อเรา เพราะหากเราไม่รักษาสัจจะวาจา ไม่กระทำตามอย่างที่พูด แล้วใครจะมาเชื่อถือ หากใครที่กระทำผิดศีลข้อ 4
ก็ย่อมส่งผลทำให้ผู้นั้นขาดความเชื่อถือไปโดยปริยาย ทั้งยังมีผู้คนรังเกียจ หรือเจอแต่คนที่หน้าไหว้หลังหลอก เพราะตนก็เคยหลอกลวงเขามาก่อน เข้าทำนองในนิทานที่ชื่อว่า “เด็กเลี้ยงแกะ”
ศีลข้อ 5
สุราเมระยะฯ พึ่งให้ละเว้นจากการดื่มน้ำเมา เสพยาเสพติด ศีลข้อ 5 นี้หากจะกล่าวโดยละเอียดแล้วยังรวมไปถึงอบายมุขต่างๆ ซึ่งเป็นทางแห่งความเสื่อมที่เราควรละเว้นไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว และการพนันขันต่อ
หากใครที่กระทำผิดศีลข้อ 5 นี้
ไม่ว่าจะในชาติใดก็ตามที่ผ่านมาหรือในชาติปัจจุบันก็ดี
กรรมนั้นย่อมส่งผลให้ผู้กระทำเป็นผู้มีสติปัญญาไม่ดี เสียสุขภาพ
ซึ่งเรื่องของสุขภาพนี้จะเห็นได้ชัดจากผู้ที่ติดยา ติดเหล้า
เพราะส่งผลต่อสุขภาพโดยตรง ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ
ซึ่งก็เป็นผลจากกรรมคือการกระทำของตนที่ลุ่มหลงในสุราเสพติด
การดื่มสุราหรือการเสพยายังนำมาสู้ความประมาทขาดสติ ทำให้เกิดการกระทำผิดศีลข้ออื่นตามมา เช่น
เมาเหล้าขาดสติไปลักชิงปล้น เข่นฆ่าผู้อื่น ประพฤติผิดในกาม ไม่สำรวมในวาจา ฯลฯ หรือการเล่นการพนัน บุหรี่
เป็นที่ช่องสุมของยาเสพติดก็มี
หรือเป็นสถานที่ขายบริการก็มี
เป็นที่พบปะของเหล่าพวกรักสนุกก็มี
ดังนั้นสถานบันเทิงจึงเป็นสถานที่หนึ่งซึ่งนับเป็นอบายมุขที่ควรละเว้น
เพื่อป้องกันมิให้กระทำผิดศีลอีกหลายข้อตามมา
และมิใช่เฉพาะผู้เสพเท่านั้น แต่ผู้ส่งเสริมเช่นพวกเจ้าของกิการเหล้า
เบียร์ สถานบันเทิงต่างๆ ล้วนแต่ต้องได้รับกรรมเช่นกัน
แต่กรรมนั้นจะส่งผลเมื่อไรก็คงไม่มีใครทราบได้
เพราะขึ้นอยู่กับกำลังของบาปกรรมว่าจะมีกำลังแรงในช่วงไหน โดยเฉพาะช่วงที่บุญอ่อนกำลังคือไม่ได้ประกอบบุญหรือแม้แต่จะทำบุญอยู่ตลอด กรรมชั่วก็มีโอกาสส่งผลได้หากเวลามาถึง โดยเฉพาะในเวลาที่จิตถูกครอบงำด้วยกิเลสที่มา : กรรมพิพากษา โดย อมตะ เทพรักษา และนาครัตนะ
ข้อมูลทางบรรณานุกรม
อมตะ เทพรักษา
กรรมพิพากษา--กรุงงเทพฯ : บารมีธรรม, ๒๕๕๖. ๑๗๖ หน้า ๑. กรรม. l. นาครัตนะ, ผู้แต่งร่วม l. ชื่อเรื่อง.๒๙๔.๓๑๒๒ ISBN : ๙๗๘-๖๑๖-๒๙๒-๑๑๙-๓
จัดพิมพ์โดย : บริษัท แฮปปี้บุ๊ค พับลิชชิ่ง จำกัด ๘ ถนนรามอินทรา แขวงมีนบุรี กรุงเทพฯ ๑๐๕๑๐ โทรศัพท์ ๐-๕๓๐๒-๑๓๒๑ โทรสาร ๐-๕๓๐๒-๑๓๒๑
พิมพ์ที่ : บริษัท พี เอ็น เค แอนด์ สกายพริ้นติ้วส์ จำกัด ๙๙/๕๑ หมู่ที่ ๒ ซอยเพชรเกษม ๘๑ ถนนเพชรเกษม แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแคม กรุงเทพฯ ๑๐๑๖๐
จัดจำหน่ายโดย : บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด
ราคา ๑๕๐ บาท
เนื้อหาเยอะดีน่ะค่ะ
ตอบลบค่ะ เนื้อหาเยอะสาระก็เยอะนะค่ะ
ตอบลบสาระเยอะดีค่ะ
ตอบลบกรรมตามทันเลยค้ะ
ตอบลบเนื้อหาดี๊ดี ว่าเเต่มันคืออะไร
ตอบลบกรรที่เราได้กระทำกันไงหรือบรรลุนิพพานแล้วธมลวรรณอิอิ
ตอบลบคนเราเกิดมาใช้กรรม
ตอบลบอ่านแล้ว บรรลุเลย
ตอบลบเนื้อหาดี
ตอบลบเนื้อหามีสาระมากเลยค่ะ
ตอบลบยานบุญบาปเลยบานนิ
ตอบลบ